โดย อิวาน อิลลิช แปล: Taweesak Tabwong 

คำปราศรัย โดย อิวาน อิลลิช ในการประชุมโครงการนักศึกษาอินเตอร์อเมริกัน (InterAmerican Student Projects หรือ CIASP) ที่ กูเอร์นาวากา ประเทศเม็กซิโก ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1968 ด้วยสไตล์ ที่จิกกัดและบางครั้งประชดประชันของเขา อิลลิชกล่าวถึงแก่นแกนแห่งภยันอันตรายของแนวคิดที่เชื่อในความคิดของผู้เป็นใหญ่หรือผู้ปกครอง (paternalism) ซึ่งเป็นเนื้อในของกิจกรรมอาสาสมัครบริการ โดยเฉพาะการบริการระดับนานานาชาติ หรือที่เรียกว่า “พันธกิจ” ทั้งนี้ บางส่วนของคำปราศรัยนั้นล้าสมัยไปแล้ว และควรถูกมองภายในบริบททางประวัติศาสตร์ของปี 1968 ซึ่งเป็นเวลาที่คำปราศรัยดังกล่าวถูกขับขานออกมา อย่างไรก็ดี คำ ปราศรัยทั้งหมดถูกคงเอาไว้เพื่อให้ประเด็นของเขาบังเกิดผลอย่างเต็มเปี่ยม ตามคำขอของอิวาน อิลลิช 

Ivan Illich

ในบทสนทนาแลกเปลี่ยนที่ผมได้มีส่วนร่วมในวันนี้ มีสองสิ่งที่ทำให้ผมประทับใจและอยากกล่าวมันออกมาก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเตรียมการพูดของผม 

ผมประทับใจในวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของพวกท่านที่ว่า แรงจูงใจของอาสาสมัครข้ามชาติส่วนมากจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกและแนวคิดที่ถูกทำให้แปลกแยกอย่างมาก (alienated feelings and concepts) อีกหนึ่งสิ่งที่ประทับใจไม่แพ้กันก็คือ สิ่งที่ผมตีความได้ว่าเป็นการก้าวไปข้างหน้า ในหมู่อาสาสมัครอย่างพวกท่าน สิ่งนี้คือการเปิดใจต่อความคิดหนึ่งเดียวที่ทำให้ท่านสามารถอาสาสมัครได้อย่างชอบธรรม อย่างการอาสาสมัครเพื่อลาตินอเมริกานั้น ท่านอาจจะต้องสมัครใจที่จะไร้อำนาจ สมัครใจที่จะอยู่ในฐานะผู้รับ อย่างเช่น การเป็นผู้ซึ่งเป็นที่รักหรือได้รับการอุปการะโดยปราศจากการให้สิ่งใด ๆ ตอบแทนกลับไป 

และเช่นเดียวกัน ผมก็ประทับใจในการเสแสร้งของพวกท่านส่วนมากด้วย ประทับใจในความหลอกลวงของบรรยากาศที่แพร่กระจายอยู่ในที่แห่งนี้ ผมพูดอย่างนี้ในฐานะพี่น้องต่อพี่น้อง ผมพูดออกมาทั้ง ๆ ที่มันสวนทางกับความต่อต้านที่อยู่ภายในตัวผมเอง แต่อย่างไรก็ต้องพูดออกมาว่า ความเข้าใจเชิงลึกของพวกท่าน ความเปิดอกเปิดใจของพวกท่านต่อการประเมินผลโครงการในอดีต มันได้ทำให้พวกท่านกลายเป็นผู้หลอกลวงด้วยตัวของพวกท่านเอง อย่างน้อย ๆ ก็ส่วนใหญ่ของพวกท่าน ที่ได้ตัดสินใจจะใช้เวลาในฤดูร้อนถัดไปนี้ในเม็กซิโก ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจึงไม่พร้อมใจที่จะตรวจสอบโครงการของท่านให้มากกว่านี้ ท่านได้ปิดตาทั้งสองข้างของท่าน เพราะพวกท่านอยากจะเดินต่อไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งพวกท่านจะทำไม่ได้เลยหากท่านมองไปที่ข้อเท็จจริงบ้าง 

มีความเป็นไปได้สูงว่า การเสแสร้งนี้เป็นสิ่งที่พวกท่านทำโดยไม่รู้ตัว และด้วยสติปัญญาที่พวกท่านมี พวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่า แรงจูงใจที่ให้ความชอบธรรมต่อการอาสาสมัครต่างประเทศในปี ค.ศ.  1963 ไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้กับการอาสาสมัครอย่างเดียวกันในปี ค.ศ. 1968 

“วันหยุดพันธกิจ” ท่ามกลางคนจนเม็กซิกันเคยเป็น “สิ่ง” ที่นักเรียนอเมริกันฐานะดีควรทำในช่วงต้นของทศวรรษนี้ ซึ่ง “สิ่ง” นี้มาจากความกังวลอันลึกซึ้งต่อปัญหาที่เพิ่งถูกค้นพบ นั่นคือ ปัญหาความยากจนในทางใต้ของเขตชายแดน บวกกับความไม่รู้ไม่ชี้ต่อความยากจนที่แย่ยิ่งกว่าภายในประเทศบ้านเกิด ซึ่งได้สร้างความชอบธรรมให้กับการท่องเที่ยวเพื่อการกุศลเหล่านี้ วิสัยทัศน์ต่ออุปสรรคของการอาสาสมัครที่ดีก็ยังไม่ทำให้จิตวิญญาณแห่งอาสาสมัครแนวหน่วยงานสันติภาพและแนวบรรษัทเจือจางหายไปแต่อย่างใด

ทุกวันนี้ องค์กรแบบของพวกท่านนั้นเป็นภัยคุกคามต่อเม็กซิโก ผมต้องการแถลงถึงเรื่องนี้เพื่ออธิบายว่าถึงเหตุผลว่า ทำไมผมถึงรู้สึกคลื่นไส้องค์กรของพวกท่าน และเพื่อที่จะเตือนสติพวกท่านว่า เจตนารมณ์อันดีงามแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เรากำลังอภิปรายกัน ณ ที่นี้ “ด้วยความปรารถนาดีถึงโลกันตร์” เป็นถ้อยแถลงทางเทววิทยา (theological statement) พวกท่านจะไม่สามารถช่วยใครได้โดยมีแค่ความปรารถนาดี มีคำกล่าวของชาวไอริชที่ว่า เส้นทางสู่อเวจีนั้นถูกแผ้วถางไว้โดยความปรารถนาดี คำกล่าวนี้สรุปให้เห็นถึงทัศนคติทางเทววิทยาแบบเดียวกัน 

ความขุ่นของหมองมัวที่ท่านรู้สึกจากการเข้าร่วมโครงการ CIASP อาจนำท่านไปสู่ความรับรู้ใหม่ นั่นคือ การรับรู้ว่า แม้แต่คนอเมริกาเหนือก็สามารถรับของขวัญแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายอะไรกลับมาสักนิด เป็นการรับรู้ว่า ของขวัญบางอย่าง ผู้รับไม่สามารถแม้แต่จะพูดคำว่า “ขอบคุณ” 

บัดนี้ ถึงเวลาสำหรับคำแถลงที่ผมได้จัดเตรียมไว้

ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทุกท่าน : 

หกปีที่ผ่านมา ผมได้กลายมาเป็นที่รู้จักในเรื่องการต่อต้านคัดค้านที่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อการประพฤติตัวของ “พวกคนดี” ชาวอเมริกาเหนือทุกคนไม่ว่าใครที่มาแสร้งทำดีในลาตินอเมริกา ผมแน่ใจว่า ท่านรับรู้ถึงความทุ่มเทของผมในตอนนี้ที่จะถอนตัวกองทัพอาสาสมัครชาว อเมริกาเหนือออกจากลาตินอเมริกาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกมิชชันนารี สมาชิกหน่วยงานสันติภาพ และกลุ่มอาสาสมัครอย่างของพวกท่าน “แผนก” ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรุกรานเม็กซิโกภายใต้หน้ากากคนดี พวกท่านตระหนักถึงบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่ผมได้กล่าวเมื่อพวกท่านเชิญผมให้มาเป็นผู้ปราศรัยหลักของการประชุมประจำปีของพวกท่าน ทั้ง ๆ ที่มีคนอื่นอีกมากมาย เหลือเชื่อจริง ๆ ! ผมตีความการเชื้อเชิญของพวกท่านได้ดังนี้ มันหมายความถึงหนึ่งในสามอย่างนี้เป็นอย่างน้อย นั่นคือ ใครบางคนในหมู่พวกท่านอาจได้ข้อสรุปว่า CIASP ควรถูกยุบไปให้หมด หรือไม่ก็ควรส่งเสริมการสงเคราะห์โดยสมัครใจให้แก่ชาวเม็กซิกันยากจนตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน ดังนั้นท่านจึงเชิญผมมาเพื่อช่วยให้คนอื่น ๆ ตัดสินใจแบบเดียวกัน 

ความหมายอีกอย่างคือ พวกท่านอาจจะเชิญผมมาเพราะท่านอยากเรียนรู้วิธีการรับมือกับผู้คนที่คิดเหมือนผม นั่นคือ วิธีการโต้เถียงคนเหล่านั้นให้สำเร็จ ตอนนี้มันได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่จะเชิญโฆษกของ Black Power (กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนผิวดำ) ให้มากล่าวถึง Lions Clubs (สโมสรไลออนส์สากลเป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลก) จะต้องมี “นกพิราบ” (dove เป็นสแลงที่หมายถึงสันติภาพ หรือ คนโง่) อยู่ในการถกเถียงสาธารณะขององค์กรเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความกระหายในสงครามของสหรัฐอเมริกา 

และความหมายสุดท้ายคือ พวกท่านอาจเชิญผมมาที่นี่เพราะหวังว่า พวกท่านจะสามารถหาจุดร่วมกับหลาย ๆ สิ่งที่ผมพูดออกมาได้ จากนั้นก็เดินหน้าต่อด้วยความมุ่งหวังที่ดี และไปทำงานอาสาในหมู่บ้านเม็กซิกันช่วงหน้าร้อน ซึ่งความเป็นไปได้สุดท้ายนี้เปิดโอกาสให้เฉพาะคนที่ไม่ได้ฟังหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด 

ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อโต้เถียง ผมมาที่นี่เพื่อบอกให้พวกท่านทราบและหยุดพวกท่านจากการแสร้งทำเป็นอวดอ้างตัวของพวกท่านเองต่อหน้าชาวเม็กซิกัน ถ้าหากว่ามันเป็นไปได้ที่จะโน้มน้าวพวกท่านจากการกระทำดังกล่าว ซึ่งผมคาดหวังให้มันเป็นเช่นนั้น

ผมมีความศรัทธาอย่างยิ่งต่อความหวังดีอันสุดหามิได้ของอาสาสมัครชาวอเมริกา อย่างไรก็ตาม ศรัทธาที่ดีของเขาสามารถถูกอธิบายออกมาได้ด้วยการไร้ซึ่งความเปราะบางทางสัญชาตญาณเท่านั้น ตามคำจำกัดความก็คือ พวกท่านไม่อาจหักห้ามใจตัวเองจากการทำตัวเป็นพนักงานขายฝันที่ขาย “วิถีชีวิตแบบอเมริกัน” ชนชั้นกลางได้ เพราะนั่นคือวิถีชีวิตแบบเดียวที่พวกท่านรู้จัก กลุ่มแนว ๆ นี้จะพัฒนาไม่ได้เลยถ้าผู้คนในสหรัฐอเมริกาไม่มีความรู้สึกร่วม นั่นคือความเชื่อที่ว่า ชาวอเมริกันที่แท้จริงต้องแบ่งปันพรของพระเจ้าให้กับเพื่อนมนุษย์ผู้ยากจน ชาวอเมริกันทุกคนมีสิ่งที่จะต้องแบ่งปันให้กับคนอื่น และพวกเขาน่าจะ สามารถ และควรจะแบ่งปันสิ่งต่าง ๆ ได้ทุกเมื่อ ความคิดดังกล่าวอธิบายว่า ทำไมสำหรับนักเรียน นักศึกษาแล้ว พวกเขาสามารถช่วยให้ชาวบ้านเม็กซิกัน “พัฒนา” ได้ด้วยการใช้เวลาในหมู่บ้านเม็กซิกันไม่กี่เดือน 

แน่นอนว่า ความเชื่อมั่นที่น่าประหลาดใจนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกของภาคีมิชชันนารีผู้มีตัวตนอยู่ก็ด้วยความเชื่อแบบเดียวกันนี้เอง (ยกเว้นผู้ที่มีความเชื่อมั่นที่แรงกล้ากว่า) ตอนนี้จึงเป็นเวลาอันเหมาะสมที่พวกท่านจะได้ตัดเนื้อร้ายนี้ทิ้งเสีย พวกท่านและคุณค่าที่พวกท่านยึดถืออยู่นั้น เป็นผลผลิตของสังคมอเมริกันที่นิยมความสำเร็จและบริโภคนิยม รวมไปถึงระบบสองพรรค (two-party system) การศึกษาอันแพร่หลาย และความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของรถยนต์ครอบครัวแบบอเมริกัน ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายพวกท่านก็ได้กลายเป็นพนักงานขายฝันที่คอยเต้นระบำเร่ขายอุดมคติประชาธิปไตย โอกาสอันแสนเท่าเทียม และการประกอบการอย่างเสรี เร่ขายฝันให้กับผู้คนที่ไม่มีวันได้ประโยชน์จากจากสิ่งเหล่านี้ 

นอกจากเงินและอาวุธ อเมริกาเหนือยังมีสินค้าส่งออกล็อตใหญ่พอ ๆ กันอีก นั่นคือ นักอุดมคติแบบสหรัฐอเมริกา ผู้ปรากฎตัวออกมาบนโรงละครทุกหนแห่งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ อาสาสมัคร มิชชันนารี ผู้จัดการชุมชน นักพัฒนาเศรษฐกิจ และเหล่าคนทำดีที่เที่ยวพักผ่อนนี่ไปดูงานนั่นตลอดเวลา ในความคิดของพวกเขา เขานิยามงานของตัวเองว่าเป็นการบริการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว บ่อยครั้งพวกเขาก็บรรเทาความเสียหายที่มาจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ และอาวุธที่ อเมริกาส่งออก หรือไม่ก็ “ล่อลวง” “ประเทศด้อยพัฒนา” ให้ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับโลกส่วนที่มั่งคั่งและต้องการกอบโกย ตอนนี้อาจถึงเวลาที่จะต้องเตือนสติผู้คนในสหรัฐอเมริกาว่า วิถีชีวิตพวกเขาได้เลือกนั้นไม่มีค่าพอที่จะแบ่งปัน 

ถึงตอนนี้ มันควรเป็นหลักฐานต่อทุกประเทศในทวีปอเมริกาว่า สหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหากาพย์การต่อสู้เอาชีวิตรอด สหรัฐอเมริกาไม่สามารถคงอยู่ได้เลยหากประเทศอื่น ๆ ไม่ปักใจเชื่อว่า เรามีสวรรค์บนดิน ณ ที่นี้ สหรัฐอเมริกาจะอยู่รอดหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับจากผู้ที่เรียกว่ามนุษย์ “เสรี (free)” ที่ชนชั้นกลางสหรัฐฯ กำลังรับบทอยู่ วิถีชีวิตแบบอเมริกันกลายมาเป็นศาสนาที่จะต้องได้รับความเลื่อมใสจากบรรดาผู้ที่ไม่อยากตายด้วยคมดาบหรือนาปาล์ม ตัวแทนของสหรัฐอเมริกาที่กระจายไปทั่วโลกกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องและส่งเสริมคนส่วนน้อย ซึ่งคนส่วนน้อยที่ว่านี้บริโภคในปริมาณที่คนส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ จ่ายได้ อย่างเช่น วัตถุประสงค์ของพันธมิตรเพื่อการพัฒนาของชนชั้นกลาง ซึ่งสหรัฐฯ ลงนามร่วมกับลาตินอเมริกาเมื่อไม่กี่ปีก่อน อย่างไรก็ดี พันธมิตรทางการค้านี้นับวันก็ยิ่งต้องได้รับการคุ้มกันโดยยุทโธปกรณ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้คนส่วนน้อยผู้ “ประสบความสำเร็จ (make it)” สามารถปกป้องสิทธิในการครอบครองและความสำเร็จของพวกเขาได้ 

ทว่า อาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้คนส่วนน้อยขึ้นมาปกครองได้ มวลชนชายขอบเริ่มแข็งข้อ เว้นแต่พวกเขาจะได้ยิน “การแถลง (Creed)” หรือความเชื่อที่อธิบายถึงสภาพที่เป็นอยู่ ภาระกิจนี้ถูกมอบให้กับอาสาสมัครชาวอเมริกันไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของ CLASP หรือผู้ปฏิบัติการใน “โครงการเพื่อสันติภาพ (Pacification Programs)” ในเวียดนาม 

สหรัฐอเมริกาในตอนนี้กำลังดิ้นรนต่อสู้ในสามแนวหน้าเพื่อยืนหยัดในอุดมการณ์ “ประชาธิปไตย” ที่มุ่งครอบครองและมุ่งเน้นความสำเร็จ ผมพูดว่า “สาม” แนวหน้าเพราะว่า พื้นที่ใหญ่ ๆ สามแห่งของโลกกำลังท้าทายความชอบธรรมของระบบการเมืองและสังคมที่ทำให้คนรวยนับวันยิ่งรวยขึ้น และคนจนนับวันยิ่งถูกผลักไสออกไป 

ในเอเชีย สหรัฐฯ ถูกคุกคามจากอำนาจครอบงำของจีน และสหรัฐอเมริกาก็ต้านทานจีนด้วยอาวุธ 3 อย่าง นั่นคือ (1) กลุ่มชนชั้นนำเอเชียไม่กี่คนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นพันธมิตรกับ สหรัฐอเมริกา (2) เครื่องจักรสงครามมหึมาเพื่อหยุดยั้งคนจีนจากการ “ยึดครอง (taking over)” อย่างที่กล่าวขานกันโดยทั่วในประเทศแห่งนี้ (3) การศึกษาภาคบังคับที่ผลิตผู้ “รักสันติ (Pacified)”  อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า ความพยายามทั้งสามอย่างนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า 

ในชิคาโก กองทุนเพื่อคนยากจน กองกำลังตำรวจ และนักเทศนาดูเหมือนจะล้มเหลวไม่ต่างกัน พวกเขามองไม่เห็นว่า ชุมชนคนผิวดำไม่อาจทนรอที่จะรวมตัวเองเข้าระบบอย่างสมเกียรติได้ 

และในท้ายที่สุด พันธมิตรเพื่อความก้าวหน้าในลาตินอเมริกาก็ประสบความสำเร็จพอตัวในการเพิ่มจำนวนคนที่ไม่อาจจะรวยขึ้นได้อีกแล้ว นั่นก็คือ พวกชนชั้นกลางที่เป็นชนชั้นนำจำนวนหยิบมือเดียว และยังสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อระบอบเผด็จการทหารอีกด้วย ผู้นำเผด็จการเหล่านี้เคยรับใช้เจ้าของไร่ทาส แต่ตอนนี้พวกเขากำลังปกป้องกิจการอุตสาหกรรมทับซ้อนอันใหม่ (industrial complexes) และสุดท้าย พวกท่านก็มาช่วยซ้ำเติมคนไม่มีทางสู้ในเกมนี้ และบอกให้เขายอมรับชะตากรรมตัวเองเสียอย่างนั้น ! 

ทั้งหมดที่พวกท่านจะทำในหมู่บ้านเม็กซิกันคือการสร้างความวุ่นวาย อย่างดีที่สุดที่พวกท่านจะทำได้คือ โน้มน้าวสาวเม็กซิกันเห็นว่า พวกเธอควรแต่งงานกับชายหนุ่มสร้างตัวผู้ร่ำรวย เป็นนักบริโภค และไม่เคารพต่อประเพณีเหมือนกันกับพวกท่าน อย่างแย่ที่สุด ด้วยจิตวิญญาณ “การพัฒนาชุมชน” ที่พวกท่านมี พวกท่านอาจจะสร้างปัญหาขึ้นมาจนถึงจุดที่ใครสักคนโดนยิงหลังจากพวกท่านพักผ่อนหย่อนใจเสร็จ และพวกท่านก็จะรีบกลับไปละแวกบ้านชนชั้นกลางที่ซึ่งมิตรสหายของพวกท่านเล่นมุกตลกเกี่ยวกับ “ถ่มน้ำลาย (spits)” และ “หลังเปียก (wetbacks เป็นสแลงที่หมายถึงกรรมกรชาวเม็กซิโกที่เข้าอเมริกาโดยผิดกฎหมาย)” 

ท่านเริ่มต้นภารกิจโดยไม่ได้ฝึกฝนอะไรเลย แม้แต่หน่วยงานสันติภาพก็ทุ่มงบค่าใช้จ่ายราว ๆ  10,000 เหรียญให้สมาชิกแต่ละคนเพื่อช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม และเพื่อป้องกันสมาชิกจากความไม่คุ้นชินทางวัฒนธรรม (culture shock) น่าแปลกที่ไม่มีใครเคยคิดที่จะใช้งบประมาณในการให้ความรู้แก่ชาวเม็กซิกันผู้ยากจนเพื่อป้องกันพวกเขาจากความไม่คุ้นชินทางวัฒนธรรมเมื่อต้องพบพวกท่าน? 

อันที่จริง แม้แต่การพบปะผู้คนส่วนมากที่ท่านแสร้งทำเป็นรับใช้ในลาตินอเมริกา พวกท่านก็ยังทำไม่ได้ ต่อให้พวกท่านพูดภาษาถิ่นของพวกเขาได้ ซึ่งพวกท่านก็พูดกันไม่ได้ ท่านสามารถ สนทนาได้แต่กับคนที่เหมือน ๆ กับพวกท่านเท่านั้น ซึ่งก็คือคนลาตินอเมริกาที่เลียนแบบชนชั้นกลางอเมริกาเหนือ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกท่านจะพบปะกับคนที่ด้อยโอกาสหรือด้อยสิทธิ (the underprivileged) ได้จริง ๆ เพราะพวกท่านไม่มีพื้นเพใด ๆ ร่วมกับเขาเลยที่จะไปพบปะอย่างนั้น 

ขอให้ผมได้อธิบายการปราศรัยนี้เถอะ และให้ผมได้อธิบายเพิ่มว่าทำไมคนลาตินอเมริกาส่วนใหญ่ที่พวกคุณพอจะพูดคุยด้วยได้ จึงไม่เห็นด้วยกับผม 

สมมติว่าท่านไปที่สลัมในสหรัฐอเมริกาช่วงหน้าร้อนนี้และพยายามช่วยคนจนที่นั่นให้สามารถ “ช่วยเหลือตัวเอง” ได้ ไม่นานท่านคงถูกถ่มน้ำลายใส่หรือไม่ก็ถูกหัวเราะเยาะเย้ยใส่ ผู้คนที่ขุ่นเคืองในความอวดดีของท่านจะต่อยตีหรือถ่มน้ำลายใส่พวกท่าน ผู้คนที่เข้าใจว่า จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีที่แย่ ๆ ของพวกท่านเป็นสิ่งที่ผลักดันให้พวกท่านทำอิริยาบถแบบนี้ คงจะหัวเราะอย่างเหยียดหยาม ในไม่ช้าพวกท่านก็จะได้รับรู้ว่า ความเป็นนักศึกษาวิทยาลัยชนชั้นกลางที่พวกท่านได้รับมอบหมายมานี้ไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ ทั้งสิ้นต่อเหล่าคนจน พวกท่านจะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าสีผิวของท่านจะขาวเหมือนใบหน้าส่วนใหญ่ของพวกท่านที่นี่ หรือสีน้ำตาล หรือสีดำที่เป็นข้อยกเว้นไม่กี่คนที่เข้ามาในนี้ได้ด้วยเหตุผลบางประการ 

รายงานของท่านเกี่ยวกับงานในเม็กซิโกที่ท่านใจดีส่งมาให้ผม มีเนื้อหาระบายความพึงพอใจในตนเอง รายงานของท่านในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาพิสูจน์ได้ว่า ท่านไม่สามารถได้เข้าใจเลยว่า การทำความดีของท่านในหมู่บ้านเม็กซิกันมีความสำคัญน้อยกว่าที่พวกท่านทำในสลัมของสหรัฐฯ เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่ช่องว่างระหว่างสิ่งที่ท่านมีกับสิ่งที่คนอื่นมีเท่านั้นซึ่งหนักหนาสาหัสกว่าช่องว่างระหว่างพวกคุณกับคนจนในประเทศด้วยซ้ำ แต่ยังมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ท่านรู้สึกกับสิ่งที่ชาวเม็กซิกันรู้สึก ซึ่งเป็นช่องว่างที่ถ่างกว้างมากกว่าเสียจนเทียบกันไม่ติด ช่องว่างนี้มันกว้างขนาดที่ว่า ในหมู่บ้านเม็กซิโก พวกคุณในฐานะชาวอเมริกันผิวขาว (หรือคนที่มีวัฒนธรรมแบบคนผิวขาว) สามารถจินตนาการถึงตนเองในแบบเดียวกันกับที่นักเทศน์ผิวขาวมองเห็นตัวเองเมื่อเขาเสนอวิธีใช้ชีวิตของเขาให้กับทาสผิวดำในไร่ทาสที่รัฐแอละแบมา (Alabama) ความจริงที่ว่า พวกท่านอาศัยอยู่ในกระท่อมและกินแผ่นแป้งตอติญ่า (tortillas เป็นอาหารเม็กซิกัน) เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์นั้น ช่วยทำให้เจตนาที่ดีของกลุ่มพวกท่านดูดีขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น 

คนที่พวกท่านหวังว่าจะสื่อสารด้วยได้ก็มีแค่ชนชั้นกลางบางส่วนเท่านั้น และโปรดจำไว้ ณ ที่นี่ด้วยว่า “บางคน” ที่ผมหมายถึงนั้นคือชนชั้นสูงไม่กี่คนในลาตินอเมริกา 

พวกท่านมาจากประเทศที่มีก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเป็นประเทศแรก ๆ และสามารถเปลี่ยนพลเมืองส่วนใหญ่ให้เป็นชนชั้นกลางได้ ในสหรัฐอเมริกา การเรียนจบในปีสองของวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องพิเศษแต่อย่างใด ที่จริงแล้ว คนอเมริกันส่วนใหญ่ก็เรียนจบวิทยาลัยอยู่แล้ว ใครก็ตามที่เรียนไม่จบมัธยมปลายก็จะถูกถือว่าเป็นผู้ด้อยสิทธิโอกาส 

ในลาตินอเมริกาสถานการณ์ค่อนข้างแตกต่าง นั่นคือ คนกว่า 75% ลาออกจากโรงเรียนก่อนเรียนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้นผู้ที่จบมัธยมปลายจึงเป็นแค่คนส่วนน้อย จากนั้น คนส่วนน้อยในกลุ่มนี้ได้ไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย มีเพียงในหมู่คนเหล่านี้เท่านั้นที่มีการศึกษาเท่ากับท่าน 

ในขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางในสหรัฐอเมริกาเป็นคนกลุ่มใหญ่ ในเม็กซิโกนั้นเป็นชนชั้นสูงกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีโอกาสเทียบเท่าคนกลุ่มใหญ่ของสหรัฐฯ เจ็ดปีที่แล้ว ประเทศของท่านเริ่มต้นก่อตั้งและสนับสนุนเงินทุนในโครงการที่เรียกกันว่า “พันธมิตรเพื่อความก้าวหน้า” นี่เป็น “พันธมิตร” เพื่อ “ความก้าวหน้า” ของชนชั้นนำที่เป็นชนชั้นกลาง (middle class elites) ตอนนี้ ในหมู่ชนชั้นกลางเหล่านี้ ท่านจะพบอยู่เพียงไม่กี่คนที่จะเต็มใจมาใช้เวลากับพวกท่าน และพวกเขาก็เป็นพวกกลุ่ม “เด็กดี” ผู้อยากจะสนองความรู้ผิดชอบชั่วดีของตนด้วยการ “ทำสิ่งดีงามเพื่อส่งเสริมคนอินเดียที่ยากจน” แน่นอนว่า เมื่อท่านและคู่หูชาวเม็กซิกันชนชั้นกลางของท่านมาเจอกัน เขาก็จะบอกพวกท่านว่า พวกท่านทำสิ่งที่ดีงาม ท่านกำลัง “เสียสละ” เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ และก็จะมีนักบวชต่างชาติที่จะคอยยืนยันภาพลักษณ์นั้นให้กับท่านโดยเฉพาะ สุดท้ายแล้ว การดำรงชีวิตและจุดมุ่งหมาย ของนักบวชก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาอันแรงกล้าของเขาในภารกิจตลอดทั้งปี ซึ่งก็เหมือนกับภารกิจพักผ่อนหน้าร้อนของท่าน 

มีข้อเสนอว่า อาสาสมัครที่กลับมาบางคนได้ตระหนักรู้ถึงความเสียหายที่ตนได้ทำต่อผู้อื่น และกลายเป็นคนที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทว่า ที่ไม่ค่อยกล่าวกันก็คือ พวกเขาส่วนมากภาคภูมิใจใน “การเสียสละภาคฤดูร้อน” อย่างน่าขัน อาจต้องเพิ่มเติมในข้อเสนอนี้ว่า บรรดาชายหนุ่มควรสำส่อนไปสักพักก่อน จะได้รู้ว่า ความรักเชิงชู้สาวแบบผัวเดียวเมียเดียวคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด หรือเพิ่มเติมว่า วิธีเลิกเสพแอลเอสดี (LSD) คือการลองเสพดูก่อนสักพัก หรือการจะรู้ว่า ความช่วยเหลือในสลัมนั้นจำเป็นหรือเป็นที่ต้องการหรือไม่ ก็คือต้องลองทำและล้มเหลวดูก่อน ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ ความเสียหายที่อาสาสมัครจงใจทำลงไปนั้นแพงเกินกว่าที่จะมาสำนึกทีหลังว่า พวกเขาไม่ควรมาเป็นอาสาสมัครตั้งแต่แรก 

หากพวกท่านยังพอมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง ก็หันไปมองการจลาจลที่เกิดขึ้นที่ประเทศท่านบ้าง ทำงานเพื่อการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ท่านจะได้รู้ว่า ท่านกำลังทำอะไร เพราะอะไรท่านถึงทำ และพวกท่านจะได้รู้วิธีการสื่อสารกับคนที่ท่านจะพูดด้วย และท่านจะได้รู้เวลาท่านล้มเหลว หากท่านยืนกรานที่จะทำงานกับคนจนต่อไป ถ้านี่คืออาชีพของท่าน อย่างน้อยก็ทำงานในหมู่คนจนที่อาจบอกให้ท่านไปตายได้ มันไม่ยุติธรรมอย่างมากในการที่ท่านวางตนเหนือหมู่บ้านที่ซึ่งท่านไม่รู้ภาษาของเขาและอับจนปัญญาที่ไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ หรือไม่เข้าใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับท่าน และท่านก็กำลังทำร้ายตัวท่านเองอย่างรุนแรงตอนที่ท่านนิยามสิ่งที่ท่านอยากทำว่าเป็น “ความดี” “การเสียสละ” และ “การช่วยเหลือ” 

ผมมาที่นี่เพื่อแนะนำให้พวกท่านสละอำนาจโดยสมัครใจ ซึ่งเป็นอำนาจที่ท่านได้มาจากการเป็นชาวอเมริกัน ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านยกเลิกสิทธิทางกฎหมายโดยสมัครใจ มีสติ และนอบน้อม ยกเลิกสิทธิที่ท่านใช้ยัดเยียดความเมตตากรุณาต่อเม็กซิโก ผมมาที่นี่เพื่อแย้งว่า พวกท่านไร้ความสามารถ ไร้พลังอำนาจ และไร้ศักยภาพที่จะทำ “ความดี” ที่พวกท่านตั้งใจไว้ว่าจะทำ 

ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้พวกท่านใช้เงิน สถานะ และการศึกษาของท่าน เดินทางมาลาติน อเมริกาเพื่อมาเบิ่งตาดู ปีนภูเขา และเพลิดเพลินกับดอกไม้ของเรา มาเรียนรู้ แต่ไม่ต้องมาช่วย